วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่S1N1

โรคไข้หวัดหมู" หรือ Swine influenza เป็นไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ ตามปกติมีการระบาดในหมูเท่านั้น สามารถพบได้ทั้งในหมูเลี้ยง และหมูป่า ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้ง H1N1, H1N2 และ H3N2 แต่บางครั้งหมูอาจมีเชื้อไข้หวัดอยู่ในตัวมากกว่า 1 ชนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดการผสมกันของยีนได้ ทำให้เกิดเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่สามารถข้ามสายพันธุ์มาติดต่อยังมนุษย์ได้ เริ่มต้นจากการสัมผัสกับหมูที่เป็นโรค

ไข้หวัดหมูส่วนใหญ่มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว แต่สามารถพบเชื้อได้ตลอดทั้งปี สำหรับโรคไข้หวัดหมูที่กำลังแพร่ระบาดในประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกานั้น เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ซึ่งเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของคน ซึ่งไม่เคยพบมาก่อน เนื่องจากเป็นการผสมกันของสารพันธุกรรมไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์, ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อ H1N1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น

วิวัฒนาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
ก่อนจะกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ หรือไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกนั้น ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ดั้งเดิม พบมาตั้งแต่ ค। ศ.1918-1919 ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก จนมีผู้เสียชีวิตประมาณ 50 ล้านคน ส่วนใหญ่อายุ 20-40 ปี และตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จากนั้นโรคไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในช่วงต่างๆ ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่มากกว่า 50 ราย โดยผู้ป่วย 61% มีประวัติสัมผัสหมูและมีอายุเฉลี่ย 24 ปี หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ มีผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อจากคนสู่คน

ต่อมาใน ค.ศ.1988 หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งเสียชีวิตในรัฐวิสคอนซิน และมีประวัติสัมผัสหมู จึงเกิดการสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1) จนกระทั่งปี ค.ศ.1998 จึงพิสูจน์พบว่า หมูที่เลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกา มีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างหมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2, H1N2, และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และแคนาดา

จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน 2008 ได้พบไข้หวัดหมูผสมสายพันธุ์ใหม่ (H1N1) ที่ประเทศสเปน จากหญิงอายุ 50 ปีที่ทำงานในฟาร์มหมู โดยมีอาการไข้ ไอ เหนื่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คันคอ คันตา และหนาวสั่น แต่อาการเหล่านี้หายไปได้เอง โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาใดๆ จึงไม่มีการคาดการณ์ว่า ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่จะเป็นอันตรายมากนัก จนกระทั่งล่าสุด เกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดหมู ในประเทศเม็กซิโก และมีการยืนยันอย่างแน่ชัดว่า โรคนี้สามารถแพร่กันระหว่างคนสู่คน เนื่องจากเชื้อโรคได้วิวัฒนาการอย่างสมบูรณ์แล้ว และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อจากไข้หวัดหมูเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009

การติดต่อโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
เชื้อไข้หวัดหมู มีการติดต่อเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนทั่วไป และเชื้อจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามปกติคนจะไม่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ยกเว้นผู้ที่ไปสัมผัสใกล้ชิดกับหมู ก็อาจติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ มาได้ แต่มักไม่ค่อยพบกรณีนี้ ทั้งยังไม่ค่อยพบกรณีไข้หวัดหมูระบาดจากคนสู่คนอีกด้วย แต่กรณีโรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในเม็กซิโกอยู่ขณะนี้ เป็นที่ชัดเจนว่า มีการติดต่อจากคนสู่คน เพราะผู้ป่วยบางรายไม่เคยมีประวัติสัมผัสหมูแต่อย่างใด

ทั้งนี้เชื้อโรคจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นด้วยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด รวมทั้งติดต่อกันทางลมหายใจ หากอยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื่อ และสามารถติดต่อได้จากมือ หรือสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ทั้งนี้เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา แต่ไม่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อหมู

ขณะที่นักวิชาการขององค์การอนามัยโลก ระบุไว้ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ มีอัตราการแพร่ระบาดมากกว่าโรคซาร์ส และไข้หวัดนก แต่อัตราการเสียชีวิตมีน้อยกว่า คืออยู่ที่ร้อยละ 5-7 ขณะที่โรคไข้หวัดนกมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ ६०

แต่ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ยืนยันว่า โรคไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหญ่ จะระบาดในวงกว้างหรือไม่ และจะทำให้มีผู้เสียชีวิตมากน้อยเพียงใด อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะติดต่อจากคนสู่คนได้ยากง่ายระดับไหน

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่
เมื่อเชื้อไข้หวัดหมูเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะปรากฎอาการที่คล้ายกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มีอาการรุนแรงกว่า และรวดเร็วกว่า นั่นคือ มีไข้สูงราว 38 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะ ปอดบวม เบื่่ออาหาร บางรายอาจท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน จากนั้นเชื้อจะแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต จึงทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีการทรงตัวผิดปกติ เดินเอนไปเอนมาเหมือนคนเมาสุรา นอกจากนี้อาจสูญเสียการได้ยินจนถึงขั้นหูหนวกได้ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

การรักษาโรคไข้หวัดไหญ่
ทางสหรัฐอเมริกา ระบุว่า โรคไข้หวัดหมูสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ คือ วัคซีนแอนตี้ไวรัส "โอเซลทามิเวียร์" (ชื่อทางการค้าว่า ทามิฟลู) และ "ซานามิเวียร์" (ชื่อทางการค้าว่า รีเลนซา) เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสไม่ให้แตกตัว แต่ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า วัคซีนเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพเพียงใด เนื่องจากไข้หวัดใหญ่ ที่แพร่ระบาดอยู่ขณะนี้ เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น จึงต้องมีการศึกษาพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ เพื่อใช้ในการรักษาให้มีประสิทธิผลมากขึ้นต่อไป

การป้องกันโรค
โรคไข้หวัดใหญ่ แม้จะเป็นสายพันธุ์หมู แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมูโดยตรง เพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่ติดต่อจากคนสู่คน ดังนั้นจึงสามารถรับประทานหมูได้ หากไม่แน่ใจ ให้ปรุงเนื้อหมูให้สุกเสียก่อน คือ ผ่านความร้อนที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือต้มในน้ำเดือด ก็จะสามารถทำลายเชื้อให้หมดไปได้

ทั้งนี้ วิธีการป้องกันการติดต่อของโรคได้ดีที่สุด คือ การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด และล้างมือบ่อยๆ

ในส่วนของผู้ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก รวมทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียและเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศใกล้เคียง ควรติดตามสถานการณ์และคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด และหากมีอาการไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

สำหรับประเทศไทยนั้น ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า ยังไม่พบการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ในประเทศ ดังนั้นก็ไม่ต้องตื่นตระหนกไปหรอกค่ะ แต่ถ้าหากยังไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์จากโรคไข้หวัดใหญ่ แนะนำว่าให้รับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุกแล้วดีกว่า และรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ อีกทั้งติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตค่ะ

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ปัญหามีกลิ่นปาก

วิธีการแก้ปัญหา กลิ่นปาก บริหารเสน่ห์ให้กับตัวคุณเอง

กลิ่นปาก มีวิธีทดสอบง่ายๆ คือ อ้าปาก แล้วหายใจออกแรงๆ รดมือตัวเอง สูดหายใจลึกๆ ทันที เพื่อตรวจดูว่า ตัวเองมี "กลิ่นปาก" หรือเปล่า สาเหตุ เกิดจาก โรคภายในช่องปาก มากกว่าสาเหตุอื่นๆ อาทิ

। การรักษาสุขภาพช่องปากไม่ดี เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ยิ่งคนที่สูบบุหรี่มีคราบนิโคตินสะสมบนหินปูนที่เกาะบนตัวฟัน มีโอกาสเกิดกลิ่นปากมาก

2। มีเศษอาหารติดค้างในช่องปาก อาจเนื่องจากมีฟันผุเป็นบริเวณกว้าง ปัจจัยเสริมให้มีเศษอาหารติดได้แก่ การใส่ฟันปลอม, การใส่เครื่องมือจัดฟัน, การมีฟันซ้อนเก

3। เหงือกอักเสบ

4। หลังการถอนฟัน หรือมีแผลในปาก มีเลือดออกจากสาเหตุต่างๆ เนื่องจากลิ่มเลือดเป็นอาหารของแบคทีเรีย ย่อยสลายส่งกลิ่นได้

สาเหตุภายนอกช่องปาก อาจเกิดจากระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ เช่น โรคกระเพาะอาหารหรืออาการท้องอืด, ท้องเฟ้อ, ท้องผูก, โรคไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ, ไข้หวัด เป็นต้น

การป้องกันและรักษา คือ รู้จักการแปรงฟันที่ถูกวิธีหลังมื้ออาหาร การใช้เครื่องมือช่วยทำความสะอาดซอกฟัน รักษาสุขภาพช่องปาก บูรณะฟันที่ผุ ขูดหินปูน รักษาโรคปริทันต์ ถอนฟันที่ไม่สามารถบูรณะ (อุด) ได้ วิธีเหล่านี้จะช่วยลดการสะสมและบูดเน่าของเศษอาหารตกค้าง ซึ่งจะแก้กลิ่นปากได้

สำหรับหลายๆ คนที่ใช้ น้ำยาบ้วนปาก ชนิดผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคช่วยระงับกลิ่นนั้น ปกติแล้วน้ำยาชนิดนี้เหมาะใช้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาไม่สามารถทำความสะอาดช่องปากด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ผู้ที่ขากรรไกรหักต้องเข้าเฝือกมัดฟันบนและฟันล่างไว้ด้วยกัน ทำให้อ้าปากไม่ได้ แต่แพทย์หรือทันตแพทย์ผู้รักษาจะไม่ให้ผู้ป่วยใช้น้ำยาชนิดนี้ประจำ เพราะทำให้เสียสมดุลของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราในช่องปาก มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

เม็ดอมระงับกลิ่นปาก ก็เป็นสิ่งยอดนิยมของผู้มีกลิ่นปาก และไม่มีกลิ่นปากทั้งหลาย โดยมากเม็ดอมหรือหมากฝรั่งมีองค์ประกอบหลักคือน้ำตาล นอกนั้นเป็นสารปรุงรส, แต่งกลิ่น การบริโภคเม็ดอมหรือหมากฝรั่งระงับกลิ่นปาก อาจให้ผลเฉพาะหน้าที่น่าพอใจ แต่มีข้อพึงระวังคือ ถ้าบริโภคบ่อยครั้งต่อวันอาจทำให้สิ้นเปลือง และมีปัญหาโรคฟันผุตามมา

แต่ถ้าเป็นคนไม่ชอบพูดชอบคุย นิ่งเงียบ ไม่อ้าปากพูด อาจมีการบูดเน่าของน้ำลายในปากได้ เพราะมีการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์ น้ำลายไม่มีการหมุนเวียนก็จะทำให้น้ำลายบูดและเกิดกลิ่นปากได้เช่นกัน

ปัญหาเส้นเลือดขอด


เส้นเลือดขอดถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สาว ๆ มักจะหนักใจ เพราะเส้นเลือดขอดนั้นถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคความสวของผู้หญิงเราเลยทีเดียววันนี้ก็เลยจะหยิบเอาตัวอย่างอาหารที่จะช่วยลดปัญหานี้มาฝากเพิ่มเติมกันด้วยค่ะ โดยอาหารต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยลดเส้นเลือดขอดได้- ใยอาหารไม่ละลายน้ำ เช่น ยอดแค มะเขือพวง ถั่วเมล็ดแห้ง ทับทิม ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ ลดการปวดเกร็งซึ่งส่งผลให้เกิดเส้นเลือดขอด- วิตามินซี เช่น แขนงผัก บรอกโคลี พริก ผลไม้ตระกูลส้ม ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง - ผัก ผลไม้ที่มีสารฟลาโวนอยด์ เช่น เบอร์รี่ องุ่น ธัญพืช ทำงานร่วมกับวิตามินซีเสริมความแข็งแรงและลดรอยรั่วของหลอดเลือดทราบอย่างนี้แล้ว เพื่อน ๆ ที่นี่ก็อย่าลืมหามาทานกันนะคะ จะได้ช่วยลดเส้นเลือดขอด เพื่อจะได้หมดปัญหามากวนใจความสวยกันนะคะ

วิธีฝึกบำรุงสมอง

อยาก"จำแม่น"เชิญทางนี้ มีวิธีฝึกบำรุงสมองมาบอก
window.google_render_ad();
งานวิจัยเพื่อค้นหาวิธีการ "บำรุงสมอง" ยังมีเผยแพร่ออกสู่สาธารณะอย่างต่อเนื่องครับงานเด่นๆ ที่ผ่านมาก็เช่น ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ที่บอกว่า การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะนั้นส่งผลดีต่อสมองเพราะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองดีขึ้น เมื่อสมองแข็งแรง "ความจำ" ก็แม่นยำ ปิ๊งปั๊งตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ นอกจากนั้น ในวงการแพทย์ปัจจุบันก็ยอมรับกันว่า การรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัว "โอเมก้า 3" ซึ่งพบมากในน้ำมันปลาและเนื้อปลาทะเล ก็มีส่วนช่วยบำรุงสมอง บำรุงความจำ เช่นกันมาวันนี้ นักวิจัยมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ เมโทรโพลิแทน ประเทศอังกฤษ เสนอข้อมูลใหม่ ว่าวิธีพัฒนา-ฟื้นฟูความจำของสมองมนุษย์แบบง่ายๆ ทำได้ด้วยการค่อยๆ กรอก "ลูกตา" จากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งเท่านั้นเอง!เคล็ดลับการกรอกลูกตาที่ว่านี้ ต้องทำในแนวนอน เช่น กรอกตามองจากฝั่งซ้าย มาตรงกลาง แล้วไปทางขวา หรือไม่ก็ทำในทิศทางสลับกันแต่ต้องกรอกตา หรือ ทำต่อเนื่องเพียง 30 วินาทีต่อวัน ดร.แอนดรูว์ ปาร์กเกอร์ นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญระบบประสาท ผู้นำการวิจัย กล่าวว่า การฝึกกรอกตาไปมาแบบนี้จะช่วยให้ "สมองทั้ง 2 ซีก" ของคนเราทำงานตอบสนองกันดียิ่งขึ้นเมื่อทำบ่อยๆ จึงเหมือนกับเป็นการ "ออกกำลังกายสมอง" ไปในตัว ทำให้สมองของผู้ฝึกมีความจำดีกว่าเดิม 10 เปอร์เซ็นต์! ดร.แอนดรูว์ ได้ข้อสรุปเบื้องต้นดังกล่าวจากการทดลองแบ่งนักศึกษา 102 ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ฝึกกรอกตาซ้ายขวา, กลุ่มที่สองกรอกตาขึ้นลง และกลุ่มที่สามไม่ต้องฝึกอะไรเลย ผลพบว่า กลุ่มแรกจดจำเสียงคำพูด 300 คำที่นักวิจัยเปิดเทปให้ฟังได้มากที่สุด สำหรับท่านผู้อ่านที่อยากทดลองทำก็ลองดูได้นะครับ แต่แนะนำว่าอย่าไปฝึกเวลานั่งรถราที่มันเขย่าๆ เดี๋ยวจะตาลาย-ปวดตาจนอาเจียนพุ่งปรู๊ดกันไปเสียก่
อน!

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

รวมแหล่งท่องเที่ยว

รวมแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เชิญเที่ยวชมไปกับเรานะค่ะ










สมุนไพรเพื่อความงาม

ใบหน้า คือ ด่านแรกที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจของผู้พบเห็น แต่หลายๆคนกำลังประสบปัญหาผิวหน้าไม่เรียบสวย เพราะเม็ดสิวและรอยแห้งกร้านด้วยจุดด่างดำของกระและฝ้า จนต้องเสียเงินทองมากมายเพื่อเข้าสถานเสริมความงาม หรือหาซื้อยามารักษา จึงอยากแนะนำให้ใช้สมุนไพรพืชผักและผลไม้ที่มีอยู่ทั่วไป แต่มีคุณประโยชน์มากมายทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และสารบำรุงผิวธรรมชาติที่ช่วยดูแลผิวพรรณให้ชุ่มชื้นผ่องใสอ่อนไวอยู่เสมอ

1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle) คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว

นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

2. งา (Sesamum indicum Linn. S. orientle. L) เป็นพืชล้มลุก ให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำ และสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ ประมาณ 45-54% น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้ โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออก โดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนัง เพื่อบำรุงผิวพรรณ ให้ผุดผ่อง ช่วนประทินผิวให้นุ่มนวล ไม่หยาบกร้าน

3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.) จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช้วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล

4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.) ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.)ในขมิ้น จะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัว เพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด ได้อีกด้วย

6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata) ได้จากผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส ขี้ผึ้ง อัลบูมินอยด์ ละอองเกสรดอกไม้ และฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้า ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้ง เป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์สูง และหาง่าย นอกจากนี้ ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม

7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn) มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขาม จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบัน ได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้

แต่งผมสวยด้วย 12 ราศี

"คุณเตรียมตัวหล่อสวยเด้งรับปีฉลูกันหรือยัง ...?" ลองนอนก่ายหน้าผากทบทวนเหตุ การณ์ดีและไม่ดีใน พ.ศ. ที่ผ่านไป คิดไม่ออกไม่เป็นไร ลองส่องกระจกดูริ้วรอยบนใบหน้าที่เกิดจากการตรากตรำมาทั้งปี หากตรึกตรองแล้วใบหน้าเหมือน "อมทุกข์ แบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว"

ถึงเวลาหรือยังที่ต้องแปลงโฉมดวงหน้าให้หล่อเหลา สวยเฉียบรับปีฉลู วันนี้เรามีทริคสำหรับการแต่งผมสำหรับสาว ๆ ราศีต่าง ๆ มาฝากกันด้วย... ...


ราศีมังกร ควรตัดผมหน้าม้าเสมอคิ้ว เพิ่มประกายสดใสเส้นผมด้วยสีน้ำตาลประกายส้มหรือน้ำตาลช็อกโกแลต... ...

ราศีกุมภ์ ดัดผมเป็นลอนคลื่นนุ่มสลวย เพิ่มสีสันด้วยสีบลอนด์อ่อน ประกายหมอกเหลือบเขียว... ...

ราศีมีน ซอยสไลด์ทั้งศีรษะแต่ไม่สั้นมากปล่อยด้าน หลังให้ยาวระดับบ่า ด้านหน้าตัดขอบเฉียงปิดตา 1 ข้าง ทำให้เธอดูมีเสน่ห์น่าค้นหา จัดทรงปล่อยเส้นผมให้เป็นอิสระ เพิ่มสีสันด้วยน้ำตาลอ่อนประกายชมพู... ...

ราศีเมษ ปล่อยด้านข้างยาวกว่าปลายคาง จับเซต ออกมาในลักษณะของการสลับไขว้กันไปมาให้ดูโฉบเฉี่ยว เพิ่ม ชีวิตชีวาด้วยสีหมอกน้ำเงิน ไฮไลต์สีบลอนด์อ่อน... ...

ราศีพฤษภ ผมหยิกแบบเปิดหน้าผากตั้งแต่ช่วงหน้าผากลงมาควรให้ยาวเกินคางมาสัก 2 - 3 ซม. จะช่วยให้หน้าดูเด่นและคมขึ้น ไฮไลต์ช่วงลอนด้วยสีบลอนด์อ่อนมากที่สุดเพื่อให้ตัดกับสีเข้มของด้านบน... ...

ราศีเมถุน ผมซอยเป็นม้าระดับลูกตา ด้านข้างไว้จอนเป็นประกายถึงปลายคาง ด้านหลังซอยบาง ๆ คล้ายผมรากไทร ไฮไลต์สีบลอนด์อ่อนประกายแดงทองเป็นช่อ ๆ ทั้งศีรษะ ... ...

ราศีกรกฎ ตัดทรงบ๊อบประยุกต์ ไฮไลต์เป็นช่อ ๆ ด้วยสีแดง... ...

ราศีสิงห์ ผมซอยสั้น เน้นความยาวของเส้นผมบริเวณกลางศีรษะชี้ขึ้นมาเป็นแนวคล้ายครีบปลา แต่งแต้มสีสันด้วยสีบลอนด์จาง ๆ... ...

ราศีกันย์ ทรงผมไม่ว่าจะเป็นผมปล่อยธรรมชาติหรือรวบแบบไม่ตั้งใจเสมือนเพิ่งตื่นนอนจัดแต่งให้ดูนุ่มนวลมีน้ำหนักและพลิ้วไหว ทำสีบลอนด์ผสมม่วงประกายมุก... ...

ราศีตุลย์ ให้ปลายผมชี้ออกเสมือนปล่อยเส้นผมให้เป็นอิสระ เพิ่มสีสันด้วยการใช้สีดำรองพื้นและไล่สีประกายชมพูเข้ม... ...

ราศีพิจิก สไลด์ผมให้สั้นกว่าระดับกรอบหน้าเพื่อให้ ดูเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น ทำสีบลอนด์อ่อนประกายแดงมะฮอกกานีผสมสีบลอนด์กลางประกายแดงมะฮอกกานี... ...

ราศีธนู เปิดหน้าผากกว้างและมีไรผมพองาม เติมสีสันเพิ่มเสน่ห์ให้เส้นผมด้วยแบบผมยาวประบ่า ทำโลว์ไลต์สีชมพูผสมสีเขียวสำหรับสาว ๆ คนไหนที่คิดจะเปลี่ยนผมทรงใหม่ ลองอ่านทริคที่แนะนำไปแล้วลองไปทำตามกันดูนะจ๊ะ จะได้สวยเริ่ดรับปีฉลูกันนะจ๊ะ

เคล็ดลับการรับประทานอาหาร เพิ่มอกอึ๋ม


ใครจะนึกบ้างว่า หน้าอกของเราจะมีรูปทรงสวยได้นั้น เกิดจากพื้นฐานง่ายๆ นั่นคือการรับประทานอาหารค่ะเรื่องนี้ได้มาจากการบรรยายของ เภสัชกรหญิงนันทวดี พิทยาพิบูลย์พงษ์ ผู้จัดการพัฒนาธุรกิจความงามและสุขภาพ บริษัท Venus aesthetic ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาหน้าอก และให้บริการเกี่ยวกับการเพิ่มขนาดหน้าอก ซึ่งทำให้ทราบว่า การที่หน้าอกหย่อนไม่ได้รูปนั้น เกิดจากอิลาสตินคอลลาเจน (เนื้อเยื่อตรงฐานอกซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้หน้าอกมีควา มยืดหยุ่นและคงตัว) ไม่แข็งแรง และสาเหตุที่ไม่แข็งแรงนั้น ก็เพราะการรับประทานอาหารแบบทุโภชนาการ รวมถึงการอดอาหารลดน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง
ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าคือโปรตีนและไขมัน แต่อาหารที่ผู้หญิงนิยมรับประทานกันคือ ผักและผลไม้ ซึ่งเป็นส่วนของพลังงานทั้งสิ้น แต่ในความจริงแล้วร่างกายของเราต้องมีการสร้างซ่อมตลอดเวลา และวัตถุดิบในการสร้างซ่อมก็มาจากอาหารที่เราบริโภคเ ข้าไปสู่ร่างกาย ดังนั้น หากเราไม่รับประทานอาหารที่ร่างกายสามารถนำไปสร้างซ่อมได้ ร่างกายก็จะย่อยเนื้อเยื่อออกมาก่อนแล้วนำกลับไปใหม่ ทำให้ไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่ต้องซ่อมแซมได้ รวมทั้งการย่อยแบบนี้จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆหลวม รวมไปถึงเนื้อเยื่อตรงฐานหน้าอกด้วย และนี่คือคำตอบว่าทำไมหน้าอกของเราจึงหย่อนและไม่กระชับ สาเหตุก็เพราะเรารับประทานอาหารไม่ถูก...ส่วนนี่เองคำแนะนำคือ หากต้องการให้หน้าอกของเรากระชับและตั้งขึ้น จะต้องเปลี่ยนวิธีการบริโภคอาหารเสียใหม่ คือรับประทานให้ครบถ้วน โดยเน้นโปรตีนให้เพียงพอ เพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอ จะทำให้ร่างกายมีวัตถุดิบในการสร้างซ่อมตัวเองสำหรับคนที่กลัวว่ารับประทานอาหารครบถ้วนแล้วจะอ้วน ก็ขออธิบายต่อว่า หมวดที่ทำให้อ้วนนั้นได้แก่ แป้งและน้ำตาล ทั้งสองอย่างนี้ใช้เวลาในการย่อยไม่เกิน 40 นาที เมื่อย่อยเสร็จแล้ว แป้งและน้ำตาล จะอยู่ในรูปกลูโคส ซึ่งเป็นพลังงานหลัก แต่ร่างกายก็ยังไม่สามารถนำไปใช้ได้ ต้องมีตัวพานั่นก็คืออินซูลิน เพราะอินซูลินจะพากลูโคสเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อและเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นพลังงาน ถ้าใช้ไม่หมดอินซูลินจะนำกลูโคสที่เหลือไปเปลี่ยนเป็ นพลังงานไขมันต่ำ สะสมไว้ในชั้นของไขมัน เพราะฉะนั้นการรับประทานอาหารที่มีแป้ง ของหวาน ขนม จะเป็นการรับประทานที่สะสมไขมันอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยนำส่วนที่สะสมนี้ไปใช้ได้เลย โรคอ้วนจึงเกิดขึ้นกับเราวิธีที่จะนำไขมันสะสมออกมาใช้นั้น จะต้องมีโปรตีนเข้าไปช่วย เพราะหากโปรตีนไปปนอยู่กับแป้งและน้ำตาลจะทำให้การย่อยช้าลง เกิดการทยอยเข้าสู่กระแสเลือด อินซูลินจะถูกเรียกมาใช้อย่างช้าๆ ใช้แล้วก็หมดไป โอกาสที่จะนำกลูโคสไปสะสมในชั้นไขมันจะลดลง อีกทั้งโปรตีนจะเรียกฮอร์โมนที่ชื่อกลูคากอนออกมา กลูคากอนจะสามารถนำไขมันเก่ามาใช้เป็นพลังงานได้ด้วย แต่โปรตีนควรรับประทานคู่กับผักด้วย เพราะผักจะช่วยซับเอาไขมันส่วนเกินออกไป อีกทั้งไขมันก็เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการ มากเกินไปด้วยวิธีรับประทานโปรตีนที่ถูกต้องนั้น ให้ใช้ฝ่ามือของตัวเองชี้วัด กล่าวคือ ในตอนเช้า ควรรับประทานโปรตีน ประมาณ ครึ่งฝ่ามือหรือ ไข่ 1 ลูก ตอนกลางวัน รับประทานโปรตีน 3/4 ของฝ่ามือ และในตอนเย็น รับประทานโปรตีนให้เท่ากับ 1 ฝ่ามือ เหตุที่ต้องรับประทานโปรตีนให้มากในช่วงเย็นนั้น เพราะ 70% ของร่างกายจะถูกซ่อมแซมขณะที่เรานอนหลับ ส่วนคนที่นอนน้อย อย่างเช่น นอนตอนตี 1 แต่รับประทานมื้อเย็นไปเมื่อเวลา 18.00 น. นั้น ปกติร่างกายของเราควรมีการเติมอาหารทุกๆ 4 ชั่วโมง ดังนั้น หากเกิดกรณีนี้ในช่วง สี่ทุ่ม ร่างกายของเราจะย่อยอาหารเรียบร้อยแล้ว ช่วงเวลานี้จึงควรทานอะไรเพิ่มเติมเข้าไปและขอแนะนำว่าให้เป็นเรื่องของโปรตีนเท่านั้น เช่น นมหรือน้ำเต้าหู้ เพราะจะได้นำไปเก็บเป็นวัตถุดิบในการสร้างซ่อมได้การรับประทานให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หน้าอกกระชับได้รูปมากขึ้นแล้ว หากต้องการทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้น โดยการใช้ทรีตเม้นต์และนวัตกรรมจากสถาบันที่เชื่อถือได้ คุณก็จะประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ถ้าคิดว่าเพียงแค่ต้องการให้หน้าอก คงความกระชับได้รูป การรับประทานอาหารและออกกำลังกาย บริหารหน้าอก ใส่ชุดชั้นในอย่างถูกต้อง ก็คงจะเพียงพอแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะพอใจแค่ไหน แต่ถึงอย่างไร หากคุณเลือกในสิ่งที่มีคุณค่าให้กับตัวของคุณ ได้เองตั้งแต่วันนี้ คุณก็จะสวย สดใส มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ

การดูแลผิวหน้าในแต่ละวัย


ย่อมแตกต่างกันตามสภาพผิวที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ยังเป็นสาวหน้าใส ผิวพรรณ เต่งตึง การทาแค่ครีมกันแดด และล้างหน้าด้วยเคลนเซอร์สูตรอ่อนโยนก็อาจจะเพียงพอ แต่เมื่อวัยมากขึ้นรอยตีนกาเริ่มมาเยือน ผิวหน้าที่เคยเนียนใส กลับดูแห้งหรือหยาบมากขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์และการดูแลผิวอาจจะดูยุ่งยาก และต้องใส่ใจกันมากขึ้น เพราะปัญหาของผิวจะเริ่มปรากฎมากขึ้นนั่นเองวัย15-20
การดูแล : วัยรุ่นกับสิวเป็นของคู่กันเสมอ สิวในช่วงนี้มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ และมีตัวก่อกวนอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น การแคะ แกะ หรือบีบสิว รวมทั้งความเครียดและอดนอนจริง ๆ แล้ว สิวที่เกิดขึ้นมักหายไปเองตามธรรมชาติ ถ้าเราไม่ไปกดสิว ปัญหารอยดำ และการอักเสบก็จะไม่เกิดขึ้น แต่หากไม่หาย ก็ปรึกษาคุณหมอเถอะค่ะ การดูแลผิวในวัยสาวน้อย ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ วันละ 2 ครั้งก็พอ และหลีกเลี่ยงเคลนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพราะค่อนข้างแรงกับผิวอาจทำให้ผิวใส ๆ ดูกร้านก่อนวัยได้
วัย 20 ปีขึ้นไป
การดูแล : ปัญหาเรื่องสิว จะลดน้อยลง ยกเว้นในคนที่ผิวมัน ที่อาจมีเม็ดสิวเป้ง ๆ ให้รำคาญใจได้ หรือคนที่มีฮอร์โมนเพศสูง ก็อาจมีสิวโผล่อยู่เรื่อย ๆ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่เคยใช้ ในช่วงสาววัย 16 ได้ดี บางครั้งอาจจะไม่เหมาะกับสาววัยนี้ก็เป็นได้ เนื่องจากผิวหน้าที่เคยอ่อนใส อาจดูหมองคล้ำ หรือแห้งกร้านได้ตามวัยที่มากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตาย และเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าสดใส เปล่งปลั่งมากขึ้นและไม่ลืมทาครีมป้องกันแดดทุกครั้ง ก่อนออกจากบ้าน เพราะแสงแดด จะทำให้ริ้วรอยมาเยือนผิวได้เร็วขึ้น ป้องกันไว้ดีกว่าแก้แน่นอนค่ะ นอกจากนี้การใช้ AHA จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ครีมกันแดดทุกวัน และหากเลี่ยงแดดแรง ๆ ได้ก็ควรทำค่ะ หรือจะเลือกการขัดผิวด้วยครีมขัดผิว ซึ่งผลิตมาเพื่อใช้กับผิวหน้าที่บอบบางก็สะดวกดีค่ะ วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง ควรทำหลังจากทำความสะอาดหน้าแล้ว แต้มเจลหรือครีมขัดผิว ลงบนผิวหน้า 5 จุดคือ บริเวณ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้างจมูก และคาง เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ซึ่งมีแรงกด ค่อนข้างเบา นวดเป็นวงกลมไปในทิศเดียวกัน จะช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดลอก ทำให้ผิวหน้านวลผ่อง สดใสขึ้น ทำสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ หลังจาก ขัดผิวแล้วอย่าลืมทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทุกครั้ง ซึ่งการขัดผิวจะช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมสู่ผิวได้ล้ำลึกขึ้น
วัย 30 ปีขึ้นไป
การดูแล : ผิวหน้าของสาววัยนี้ จะมีปัญหาของริ้วรอยใต้ตา โดยเฉพาะเวลาที่คุณยิ้ม รอยตีนกาและรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก จะเริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่ง สดใสก่อนหน้านี้ ก็จะเริ่มขาดความยืดหยุ่น ผิวหน้าจะดูหยาบกร้านขึ้น รูขุมขนโตขึ้น การดูแลผิวจึงต้องครบเครื่องมากขึ้น ทั้งการขัดผิว และมาสค์หน้า จะช่วยขจัดการหลุดลอกของผิวชั้นนอก และช่วยดูดซับสิ่งสกปรกตกค้างจากรูขุมขนส่วนลึกได้ดี ทำให้หน้าสะอาด กระชับและสดใสขึ้น และสำหรับผิวหน้าที่ เริ่มมีริ้วรอยควรเลือกมาส์ค ที่มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หลังการพอกหน้าและล้างสะอาดแล้ว จะทำให้หน้าผ่อง เนียนนุ่ม และมีความยืดหยุ่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการเลือกครีมบำรุงผิวของสาววัยนี้ ควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นพิเศษ เพราะผิวหน้าจะเริ่มแห้งมากขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงผิวหน้าตามธรรมชาติ ผลิตน้อยลง และควรเลือกชนิดเนื้อเบา เพื่อไม่ให้ไปอุดตันรูขุมขน นอกจากนี้ การใช้อายเจลหรืออายครีม ก็จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตา ชุ่มชื้นและสดใสขึ้น ส่วนครีมกันแดด ก็จำเป็นต้องใช้เป็นประจำทุกวันมาสก์พอกหน้าแบบประหยัดมาสค์พอกหน้าจากโยเกิร์ตล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใส มาสค์พอกหน้าจากมะละกอนำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอจะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้ผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่ง

รวมรูปทั้งหมด

แหล่งรวมรูปภาพสะสมมากมายที่นี่

ศัลยกรรมกับความงาม

1. ศัลยกรรมตกแต่งมีความหมายว่าอย่างไร หมายถึง 1. ทำเพื่อความสวยงามคือคนปกติสวยน้อยทำให้สวยมาก 2. เป็นศัลยกรรมตกแต่งเสริมสร้างคนที่มีความพิการแต่กำเนิด หรือจำพวก ติดเชื้อจาการเกิดอุบัติเหตุ หรือผ่าตัดเนื้องอก ทำให้มีรูปร่างพิกลพิการไป แล้วจะตก แต่งเสริมสร้างให้เขาอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
2. ปัจจุบันคนที่นิยมทำศัลยกรรม นิยมทำส่วนใดของร่างกาย โดยทั่วไปมีผู้มาขอรับศัลยกรรมเสริมสวย คือ ตา อันดับ 1 จมูก อันดับ 2 และ เต้านมอันดับ 3 ศัลยกรรมใบหน้าโดยเฉพาะดึงใบหน้า ดูดไขมันหน้าท้อง สะโพก ขา สำหรับชายศัลยกรรมปลูกผมเป็นอันดับหนึ่ง
3. การทำศัลยตกแต่งเพื่อรักษาโรคอะไรได้บ้าง ศัลยกรรมตกแต่งแก้ไขความพิการ ควรแต่งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเสริมสร้างความ พิการ รูปร่างผิดปกติ เช่น แขน ขา ลำตัว ไปจนถึงเท้า ความพิการบางรายเกิดมาตั้งแต่ กำเนิด หรือติดเชื้อ และการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกจากร่างกาย
4. สารซิลิโคนคืออะไร คือสารเคมีชนิดหนึ่ง เป็นสารเกิดจากทรายและซิลิการ์ ที่ผลิตออกมามี 2 ประเภท คือ 1. ใช้ในอุตสาหกรรม เช่นน้ำมันหล่อลื่น 2. ใช้ทางการแพทย์ต้องทำให้สะอาดสารซิลิ โคน แบ่ง เป็น 4 ประเภท 1. เป็นของเหลว 2. เป็นแผ่น 3. เป็นแท่ง 4. ลักษณะคล้าย ฟองน้ำ สารซิลิโคนเป็นของเหลว ทางการแพทย์จะไม่นิยมใช้ ใช้ในกรณีที่เป็นแผลบุ๋ม ใช้มาก ๆ สารซิลิโคนจะไปกองอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย จะทำให้เกิดการอักเสบ และผิดกฎหมาย ถ้าใช้ฉีดแล้วจะแข็งเจ็บ - ซิลิโคนแผ่น ใช้เป็นท่อน้ำเกลือ หรือใช้ไปหุ้มเครื่องกระตุ้นหัวใจ - ส่วนที่เป็นแท่ง ใช้เสริมจมูกที่ต้องการให้แข็งแรง ใช้ทำเป็นข้อเทียม - ส่วนลักษณะฟองน้ำ ไม่มีการผลิตออกมาใช้ ส่วนใหญ่ใช้ในที่นุ่ม เช่น ใบหน้าทุก ชนิดนอกจากซิลิโคนเหลวแล้ว ถ้าเราใช้อย่างถูกต้องและสะอาด พอเพียงมีเนื้ออ่อนคลุม จะไม่มีอันตราย
5. การทำหน้าอกใช้ซิลิโคนแบบไหน การทำหน้าอกใส่ถุงนมเทียมเข้าไป ถุงนมเทียมชั้นนอกเป็นสารซิลิโคนชนิดแผ่น ปลอดภัย ในถุงจะมีซิลิโคนเหลวเมื่อจับถูกต้องแล้วจะนิ่มเป็นธรรมชาติ ข้อเสียจะค่อยๆ ซึมผ่านซิลิโคนที่เป็นถุงออกมาอยู่ที่ผิว หน้าอกที่ทำมาต่อไปจะแข็งมากน้อยแล้วแต่ กรณี และจะเจ็บจึงขอเตือนว่าอย่าไปเชื่อ 100 คนมีโอกาสแข็งได้ 20 - 40 คน ชนิดนี้ สหรัฐห้ามใช้ นอกจากนี้แล้วมีถุงนมข้างนอกเป็นซิลิโคน ข้างในเป็นน้ำเกลือเวลาใส่เข้าไปจะ รู้สึกแข็งกว่าธรรมดาเล็กน้อย แต่ถ้าแตกออกสู่ร่างกาย ร่างกายจะดูดซึมแล้วถ่ายออก มาเท่านั้น
6. ในการใช้สารซิลิโคนจะเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างอื่นหรือติดเชื้อได้หรือไม่ เราจะมีวิธีแก้ไขหรือรักษาได้อย่างไร อันตรายจากซิลิโคน ถ้าใช้ของเหลวเกิดการอักเสบ ใช้ชนิดเป็นแผ่นต้อง 1. ทำในสถานพยาบาลที่สะอาดพอไม่ใช่ทำตามข้างถนน 2. การทำจมูกหรือหน้าอก ควรทำในขนาดที่แพทย์แนะนำอย่าขนาดใหญ่เกินการ การที่ทำใหญ่จะเกิดพังพืดยืดขยายหดตัวลัดทำให้จมูกใส ยิ่งถ้าทำสูงมากผิวหนังทน การยืด จากของที่เราฝังไม่ได้จะทำให้ทะลุออกมานอกผิวหนัง อย่าทำให้เกินความจริง
7. โอกาสของการติดเชื้อมีแล้วควรทำอย่างไร ให้เอาออกทันทีแล้วผ่าตัดทำการแก้ไข ถ้าทิ้งเอาไว้จะเกิดการเน่าในที่สุด
8. ทำศัลยกรรมเสร็จแล้วจะเป็นรอยแผลเป็นหรือไม่ การทำศัลยกรรมจะมีรอยแผลทุกชนิด การใช้เลเซอร์ผ่าตัดแล้วไม่มีรอยแผลเป็น ไม่เป็นความจริง การใช้เลเซอร์ผ่าตัดแล้ว ไม่มีแผลเป็นไม่เป็นความจริงทั้งหมด เช่น เดียวกับการผ่าตัดทำศัลยกรรมตกแต่งเสริมสวยจะมีรอยแผลเป็นแต่รอยแผลเป็นจะถูก ซ้อนไว้บริเวณที่ที่มองไม่เห็น และรอเวลาให้แผลเป็นค่อย ๆ จางจนเหลือเป็นรอยแข็ง ยาทั้งหลายที่จะช่วยให้จางไม่เป็นความจริง เพราะร่างกายของเราเป็นไปตามธรรมชาติ
9. รายละเอียดขั้นตอนการทำใช้เวลามากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับชนิดของการผ่าตัดและขึ้นอยู่กับฝีมือแพทย์ เวลาการใช้ทำจมูกส่วนใหญ่ 10-15 นาที หรือถ้าฝีมือปราณีตอาจใช้เวลา 2 ช.ม. ระยะเวลาการฟื้นตัว 3-4 วัน
10. ระยะเวลาการฟื้นตัวของคนไข้ บวมมาก 3-4 วัน 7 วันไปไหนมาไหนได้ 3 อาทิตย์ออกสังคมได้ แต่ก็ยังมีบวมอยู่ ให้คงรูปร่าง 80% ก็ 3 เดือน
11. การทำศัลยกรรมแต่ละครั้ง สามารถกลับบ้านได้เลยหรือเปล่า การผ่าตัดในการฉีดยาชาหรือให้ยาแบบสลึมสลือสามารถกลับบ้านได้เลย พวกที่ ดมยาผ่าตัดระยะสั้น ๆ สามารถกลับบ้านได้ แต่ถ้าทำผ่าตัดนานๆ ควรอยู่โรงพยาบาล อย่างน้อย 1 คืน
12. ในปัจจุบันทางโรงพยาบาลศิริราชมีบริการด้านนี้ไหม ทาง รพ.มีสาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่งที่รับผิดชอบทางด้านเสริมสวย และศัลย กรรมเสริมสร้าง เป็นความจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อให้คนไข้พ้นจากความทุกข์ทรมาน ส่วนศัลยกรรมตกแต่งเสริมสวยรับทำเพื่อให้การศึกษา เพราะเราถืออันดับความสำคัญ รองลงมา แต่เรารับทำทุกประเภททุกชนิด
13. พบผู้ป่วยศัลยกรรมเสริมสร้างมากน้อยแค่ไหน พบมากที่สุดคือปากแหว่ง 300 กว่าราย เพดานโว่ 150 กว่ารายนอกนั้นพบว่ามือ พิการ รูปร่างพิการปีละ 300 ราย ขณะนี้มีความพิการของกะโหลกศีรษะและใบหน้า เป็นจำนวนมาก ซึ่งเรากำลังรักษา
14. ในทัศนคติของคุณหมอว่าด้วยศัลยกรรมตกแต่งมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน สำหรับศัลยกรรมตกแต่งเสริมสร้างมีความจำเป็น ส่วนศัลยกรรมเสริมสวยทุกคน อยากจะสวย เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาให้ปรึกษากับหมอให้ดูจากความพอดีจะดี กว่า

การทำกายภาพบำบัด

เมื่อมีการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย หรือการเล่นกีฬาเกิดขึ้น ในระหว่างที่ให้การรักษาอยู่ และภายหลังการรักษาจากแพทย์ผ่านพ้นไปแล้ว ผู้ที่เชี่ยวชาญ ที่จะให้การฟื้นฟูอวัยวะส่วนที่ได้รับบาดเจ็บ ให้กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นแพทย์เราเรียกว่า แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ถ้าไม่ใช่แพทย์ มีหลายสาขา เช่น นักกายภาพบำบัด และนักอาชีวบำบัด เป็นต้น
การให้การรักษาเพื่อฟื้นฟูอวัยวะส่วนที่บาดเจ็บนี้ อาศัยหลักการดังนี้ คือ
การใช้ความร้อน จะทำให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือด มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อ เลือดที่ออกมาติดกับเนื้อเยื่อจะเริ่มสลายตัว ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยลดการอักเสบ การใช้ความร้อนมี 2 ชนิดคือ
ความร้อนแบบชื้น ได้แก่ ความร้อนที่ได้จาก ถุงเยลลี่ร้อน ระบบน้ำวน และขี้ผึ้งพาราฟิน เป็นต้น
ความร้อนแบบแห้ง ได้แก่ ความร้อนที่ได้จากการแผ่รังสีความร้อน อันเกิดจากเครื่องมือทางฟิสิกส์ ที่เราได้ยินชื่อกันบ่อยๆ เช่น เครื่องนวดระบบความถี่เหนือเสียง อัลตราซาวด์ เป็นต้น
การเคลื่อนไหวข้อต่อที่บาดเจ็บ โดยการเริ่มต้นให้กล้ามเนื้อหดตัว และคลายตัว โดยไม่มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อก่อน จนกระทั่งถึงการทำให้มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อ จนกว่าข้อต่อนั้นๆ จะงอหรือเหยียดได้เต็มที่เหมือนเดิม ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธี คือ คนไข้พยายามงอเหยียดด้วยตนเอง และการใช้การดัดจากนักกายภาพบำบัด
การฝึกกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรงเท่าเดิม ในระหว่างที่บาดเจ็บ กล้ามเนื้อในส่วนที่ไม่ได้ใช้งานเท่าเดิมจะลีบลง ความแข็งแรงจะลดน้อยลง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องฝึกกล้ามเนื้อให้กลับมาใหญ่เท่าเดิมโดยอาศัยการยกน้ำหนัก

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ "โกโนเรีย"

ข้อควารทราบเกี่ยวกับวัยรุ่น

วัยรุ่นหรือวัยทีนเอจตามภาษาฝรั่ง เป็นวัยที่อยู่ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปถือกันจากเริ่มแตกเนื้อหนุ่มแตกเนื้อสาว เป็นช่วงที่สามารถเริ่มแพร่เผ่าพันธุ์ หรือที่บางคนเรียกว่า เริ่มเข้าวัยเจริญพันธุ์ แม้ว่ายังมีความเห็นที่แตกต่างกันว่าเมื่อใด ที่เริ่มเป็นวัยรุ่น และเมื่อใดที่เลิกเป็นวัยรุ่นก็ตาม แต่จุดที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กมาสู่วัยรุ่น มีผลมาจากมีการเปลี่ยนแปลงในระดับของฮอร์โมน ในผู้หญิงจะเริ่มต้นเมื่ออายุ 10-11 ขวบ ในผู้ชายจะช้ากว่านิดหน่อยคือเมื่ออายุ 12-13 ขวบ และจะสิ้นสุดเมื่ออายุราว 17-18 ปี ทั้งสองเพศ ในระหว่างช่วงวัยรุ่นนี่เอง ที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ซึ่งถือเป็นวัยที่ปฏิบัติตนด้วยความยากลำบากมาก
วัยรุ่นจึงถือเป็นวัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม ถ้าเป็นตัววัยรุ่นเองก็มองว่าเป็นวัยที่สนุกสนาน มีเพื่อนฝูงมากมาย เป็นวัยที่ไม่ค่อยคิดถึงความทุกข์ความร้อนมากเท่าใดนัก ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่ก็มองว่าเป็นวัยที่หัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นวัยที่ต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเกรงว่าจะเกิดความเสียหาย มองว่าเป็นวัยที่ต้องมานะศึกษาเล่าเรียน ไม่อยากให้สนุกสนานร่าเริงจนเกินขอบเขต เพราะคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องเสียใจ เนื่องจากมีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียอนาคตไปในช่วงนี้ ถ้าเป็นพวกพ่อค้าขายเสื้อผ้าแฟชั่นทั้งหลาย ตลอดจนวงการบันเทิงทั้งหลาย ก็มองว่าวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะทำเงินให้ธุรกิจของเขา นอกจากนี้ในปัจจุบันเมื่อถึงวัย 18 ปี ยังบรรลุนิติภาวะพอที่จะไปเลือกตั้งได้อีกด้วย
ปัญหาที่เกิดในวัยรุ่นมีทั้งเรื่องที่เป็นสุขภาพทางกาย และปัญหาทางสุขภาพจิต บางครั้งสุขภาพทางกายทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต และปัญหาสุขภาพจิตก็มีผลทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพกายได้เหมือนกัน ฉะนั้นในปัจจุบันความใกล้ชิดของผู้ปกครองหรือบิดามารดากับวัยรุ่น เพื่อเป็นที่ปรึกษาในทุกกรณีจะมีส่วนป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องบุหรี่ ยาเสพติด และเหล้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในวัยนี้นี่เอง

การใส่ใจความรักความใคร่

วัยรุ่นในระยะเริ่มต้นอาจมีเพื่อนเฉพาะเพศเดียวกัน ต่อมาจะเริ่มสนใจเพศตรงข้าม และมีโอกาสนิทสนมพัฒนาขึ้นไปเป็นรูปแบบของความรักขึ้นได้ ความรักนอกจากจะเป็นเรื่องของจิตใจแล้ว ความรักยังเกี่ยวข้องกับความต้องการทางร่างกาย คือความต้องการทางเพศ ซึ่งในหญิงและชายคิดและรู้สึกต่อเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน
ความรักระหว่างหญิงชาย มักเริ่มต้นจากความรู้สึกชอบพอกัน และแสดงออกมาโดยการหาโอกาสใกล้ชิดสนิทสนม พูดคุยหยอกล้อ นัดเที่ยวเตร่ บางครั้งคู่รักหนุ่มสาวรู้สึกว่าโลกนี้มีแต่เราสองคน จนทำให้ "เพศสัมพันธ์ครั้งแรกในชีวิตสาว" เกิดขึ้น โดยที่หญิงสาวไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวเลย ตามอารมณ์ที่เคลิบเคลิ้มเพราะฤทธิ์ของสุรา ยาเสพติด ที่ทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ สิ่งที่ผู้หญิงต้องระวังให้มากคือ "ผู้ชายไม่ได้คิด ไม่ได้รู้สึกและไม่ได้ต้องการเช่นเดียวกับผู้หญิง"
ผู้หญิงอาจต้องการเพียงอยู่ใกล้ๆ คนรัก แค่มองตาหรือจับมือกันก็อบอุ่น และสุขใจพอแล้ว แต่ผู้ชายต้องการมากกว่า และคิดไปไกลกว่าที่ผู้หญิงคิด คือเมื่อชายอยู่ใกล้หญิงก็จะมีการสัมผัสเนื้อตัว จับมือ โอบไหล่ หรือกอดจูบ ผู้ชายก็เข้าใจว่าผู้หญิงอยากมีเพศสัมพันธ์ด้วย
ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นหญิงหรือชาย ที่กำลังฟังหัวข้อเรื่องนี้ โปรดคำนึงถึงความเหมาะสม ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ปัญหาแทรกซ้อนของความรักความใคร่ก็จะไม่เกิดขึ้น

ปัญหาด้านความรักหนุ่มสาว

ปัจจุบันสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน มีส่วนทำให้วัยรุ่นมีปัญหาของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรส อย่างถูกต้องตามประเพณี ที่ดีงามมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะเกิดปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์แล้ว อาจนำมาซึ่งโรคร้ายแรงต่างๆ ที่ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์ก็ได้
ความรักที่หญิงสาวชายหนุ่มมีต่อกันนั้น ผู้ชายอาจคิดถึงความรักแตกต่างไปจากผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงพึงระวัง "ภาษากาย" ที่ตัวเองแสดงออก อาจทำให้ผู้ชายคิดเข้าข้างตนเองได้ หากเปิดโอกาสให้เขาจับมือถือแขนและจับไปถึงไหน ๆ ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกให้เขาหยุด เมื่ออารมณ์เขาเตลิดจนยั้งไม่อยู่ เขาอาจคิดว่าผู้หญิงแกล้งห้ามพอเป็นธรรมเนียมเท่านั้นก็ได้ หากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง ต้องถามใจตัวเองก่อนว่า ท่านพร้อมจะรับผลที่จะตามมาจากการมีเพศสัมพันธ์หรือไม่? การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า ผู้ที่ท่านจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย มีโรคติดต่อร้ายแรงอยู่ในตัวหรือไม่? .ซิฟิลิส หนองใน ตับอักเสบบี และโรคเอดส์อันร้ายแรง ล้วนแล้วแต่เป็นโรคที่ซ้อนเร้นอยู่ในร่างกายของคนที่ดูจากภายนอกเหมือนคนปกติทั่วๆ ไป แม้แต่หญิงชายที่จะแต่งงานกัน แพทย์ยังแนะนำให้เจาะเลือดตรวจหาโรคร้ายแรงเหล่านี้เสียก่อน เพราะอาจมีผลเสียหายที่รุนแรงเกิดขึ้นภายหลังได้
ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นหญิงหรือชายที่กำลังฟังหัวข้อเรื่องนี้ โปรดคำนึงถึงความเหมาะสมถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และการระแวดระวังเพื่อความปลอดภัยของตนเอง ปัญหาแทรกซ้อนของความรักความใคร่ก็จะไม่เกิดขึ้น

ปัญหาฆ่าตัวตาย

ปัญหาการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมปัจจุบันซึ่งมีแต่ความเร่งรีบ ขาดความอบอุ่นในครอบครัว เพราะภาวะเศรษฐกิจที่บีบบังคับทำให้ครอบครัวที่ดีมีความสุข อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เหมือนสมัยก่อนน้อยลงทุกที การแข่งขันกันในทุกรูปแบบตั้งแต่ วัยเด็กจนกระทั่งถึงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม อารมณ์และเกิดปัญหาทางจิตใจมากขึ้นทุกที ผู้ที่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็เอาตัวรอดไป แต่มีวัยรุ่นอีกเป็นจำนวนมากที่ยังอยู่ในวงจรแห่งปัญหา ซึ่งท่านพ่อแม่ผู้ปกครองควรจะทราบและมีข้อสังเกตว่า สิ่งบอกเหตุของการที่จะเกิดการฆ่าตัวตายในวัยรุ่น ได้แก่สิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
แยกตัวจากสังคม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม พร้อมกับผลการเรียนด้อยลงเรื่อยๆ
เกิดภาวะซึมเศร้าแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
อารมณ์ที่แปรเปลี่ยนง่ายเป็นปกติของวัยรุ่นอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดการนิ่งเงียบขรึม ภายหลังจากมีภาวะความวิตกอย่างรุนแรง หรือหลังจากภาวะซึมเศร้าก็อาจเป็นสิ่งบอกเหตุอย่างหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพทันทีทันใด
บอกให้สิ่งของแก่เพื่อนหรือญาติไว้ล่วงหน้า ถ้าหากตนเองต้องตายไป
มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เช่น เพื่อนฆ่าตัวตาย การหย่าร้างของบิดามารดา และการเสียใจอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ติดยาเสพติด โดยเฉพาะยาที่ทำให้เกิดประสาทหลอน
มีพฤติกรรมเสี่ยงชีวิตบ่อยๆ เช่น ทานเหล้ามากแล้วขับรถ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่รักชีวิต
กล่าวถึงการตายหรือการฆ่าตัวตายบ่อยครั้ง
ทั้ง 9 ข้อเป็นเพียงข้อสังเกตเท่านั้น ถ้าบุตรหลานของท่านมีข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ อย่าชะล่าใจนะคะ ท่านควรพาไปปรึกษาแพทย์ก่อนที่ท่านจะเสียใจ

หลักการคบเพื่อน

ปัญหาเรื่องการคบเพื่อน แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพทางกาย แต่ก็เป็นหัวใจของการนำไปสู่ปัญหาต่อเนื่องมากมาย รวมทั้งปัญหาทางร่างกายและจิตใจที่จะกล่าวถึงต่อไป
วัยรุ่นเป็นวัยที่เบิกบาน สนุกสนาน มีความคิดความเห็นของตนเองมากขึ้น มีการพบปะเพื่อนฝูงต่างๆ ในโรงเรียนมากมาย ทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเสียหายอย่างไรที่จะมีเพื่อนเพศตรงข้าม ถ้าอยู่ในกรอบแห่งการคบหาสมาคมเช่นเพื่อนสนิทที่มีความหวังดีต่อกันและกัน
คำแนะนำซึ่งเป็นกฏตายตัวหรือเป็นหลักการในการคบเพื่อนคงไม่มีชัดเจน แต่จะอยู่บนพื้นฐานของความพอดีหรือความสมดุล ที่แต่ละคนแต่ละครอบครัวจะต้องปรับเข้ามาหากัน ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ
ตัวของท่านต้องไม่เสียหาย หมายถึงเพื่อนนั้นต้องไม่นำสิ่งที่ไม่ดีมาสู่ท่าน ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด สุรา บุหรี่ การเที่ยวเตร่ดึกดื่นที่มีผลต่อสุขภาพกายของท่าน ตลอดจนการดื่มสุราหรือเบียร์เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุจากการจราจร บางครั้งรุนแรงจนถึงกับการเสียชีวิตก็มีขึ้นได้บ่อยๆ การชักจูงที่นำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้ท่านติดโรคร้ายเอดส์ได้
การเรียนต้องไม่เสียหาย หมายถึง การคบเพื่อนนั้นต้องไม่ขโมยเวลา หรือนำเอาความสนใจออกไปจากการศึกษาเล่าเรียน ที่เป็นเป้าหมายหลักและมีความสำคัญอย่างยิ่งในวัยของท่าน ในทางตรงข้ามการคบเพื่อนที่ดีน่าจะชักจูงกัน หรือส่งเสริมให้กันและกัน เพื่อการศึกษาเล่าเรียนได้ดียิ่งขึ้น
คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองต้องไม่ทุกข์ทรมานกับการคบเพื่อน หมายถึงการกระทำใดๆที่เกิดจากการคบเพื่อน ท่านต้องพินิจพิจารณาให้เหมาะสม ท่านต้องไม่เปรียบเทียบกับครอบครัวของคนอื่นๆ ความเห็นต่างๆของพ่อแม่ผู้ปกครองของท่าน และของเพื่อนๆท่าน จะเหมือนกันคงเป็นไปไม่ได้ ทำไมเพื่อนถึงไปได้ กลับดึกได้ ไปค้างคืนกับเพื่อนได้ แต่ท่านไม่สามารถทำได้ แต่ละครอบครัวจะมีความแตกต่างกัน ตัวท่านเองนั่นแหละ ที่จะต้องเข้าใจความไม่เหมือนกันตรงนี้ของแต่ละครอบครัว แล้วท่านจะไม่นำความทุกข์ใจมาสู่พ่อแม่หรือผู้ปกครองของท่านอย่างแน่นอน

ปัญหาการเรียน

ปัญหาเรื่องการเรียนในวัยรุ่น แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพทางกาย แต่ก็เป็นหัวใจของการนำไปสู่ปัญหาต่อเนื่องมากมาย
ปัญหาการเรียนในวัยรุ่นเกิดขึ้นเพราะ ในสภาวะปัจจุบันมีสิ่งแวดล้อมภายนอกมาเบี่ยงเบนความสนใจมากขึ้น หลายๆ คนบอกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อที่ต้องเรียนหนังสือ แต่ถ้าท่านเป็นวัยรุ่นที่กำลังฟังอยู่ขณะนี้ ท่านคงต้องหยุดคิดพิจารณาให้ดีว่า ท่านเรียนหนังสือเพื่ออะไร? คำตอบก็คือท่านเรียนหนังสือเพื่อตัวเอง ท่านจะเรียนดี สอบได้คะแนนดี เรียนต่อในชั้นสูงๆ ขึ้นไปได้เรื่อยๆ ก็เพื่อตัวเองทั้งสิ้น เพราะคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองท่านก็มีส่วนในการความภูมิใจ ดีใจที่บุตรหลานประสบความสำเร็จในการเล่าเรียน แต่ความสำเร็จในการเรียนจะติดตัวท่านไป จนท่านเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพเครื่องมือในการสร้างฐานะของครอบครัวต่อไปในอนาคต และในช่วงระยะเวลานี้เท่านั้น ที่เป็นโอกาสเหมาะที่จะศึกษาเล่าเรียนให้เต็มที่ คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองของท่านคงไม่มีใครที่ไม่ต้องการสนับสนุนให้ท่านเรียนหนังสือ ดังนั้นตัวท่านเท่านั้นที่ต้องมุมานะพยายามให้เต็มที่ มากเท่าที่ท่านจะสามารถกระทำได้
การเรียนให้ประสบความสำเร็จ มีวิธีการมากมาย แต่หัวใจที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวท่าน ตัวท่านต้องการเรียนให้ดีขึ้นหรือไม่ ตัวท่านเห็นความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียนในขณะนี้หรือไม่ ถ้าคำตอบของท่านคือท่านต้องการ ความสำเร็จในการปรับปรุงการเรียน จะมีมากกว่า 50% ไปแล้ว ท่านจะต้องมานึกย้อนหลังดูว่า ท่านบกพร่องอะไรบ้างในอดีตที่ผ่านมา ท่านเตรียมการเรียนหรือท่านทำการบ้านครบถ้วนหรือไม่ ทบทวนบทเรียนบ้างหรือเปล่า ให้เวลากับการเที่ยวเตร่คบเพื่อนหรือกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนมากไปหรือเปล่า ท่านต้องปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ และที่สำคัญคือการทุ่มเทให้เวลากับการเรียนมากขึ้น สมองของแต่ละบุคคลรับรู้และเข้าใจบทเรียนโดยใช้เวลาไม่เท่ากัน ซึ่งจะเกิดขึ้นทั้งในคนเรียนเก่งและเรียนไม่เก่ง บางคนอาจฟังครั้งเดียวแล้วเข้าใจ แต่บางคนต้องฟังหลาย ๆ ครั้ง ต้องจดโน๊ตย่อ หรือต้องทบทวนด้วยตนเองอีก จึงจำได้และเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สำคัญอยู่ที่ว่าท่านต้องการเรียนให้ดีขึ้นหรือเปล่า ความพยายามของท่านเท่านั้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

การดูแลเด็กวัยรุ่น

วัยรุ่น เป็นวัยที่เชื่อมต่อระหว่างวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ ถือเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตที่สำคัญ เด็กวัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งทางร่างกาย และจิตใจโดยได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนเพศ ซึ่งโดยทั่วไปพบว่า น้ำหนักและส่วนสูงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ววัยรุ่นหญิง จะมีหน้าอกขยายใหญ่ขึ้น เริ่มมีขนบริเวณรักแร้และหัวเหน่า และเริ่มประจำเดือน ส่วนวัยรุ่นชาย จะมีลูกอัณฑะใหญ่ขึ้น เริ่มมีขนเช่นกัน มีเสียงแตกและมีการหลั่งของอสุจิ
การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ พบว่ามีความสำคัญมาก เด็กวัยนี้จะมีความคิดค่อนข้างอิสระ ต้องการเป็นตัวของตัวเอง พยายามสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง อยากให้เพื่อนยอมรับตนและต้องการเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เริ่มมองบทบาทของตนเองที่แยกออกจากครอบครัวมากขึ้น เริ่มไม่ยอมรับความเห็นของพ่อแม่ ต้องการความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันอารมณ์จะยิงสับสน วู่วาม ขึ้นๆ ลง ทำให้โอกาสที่จะขัดแย้งกับพ่อแม่มีมากขึ้น บางครั้งรุนแรงจนถึงขึ้นหนีออกจากบ้าน หันไปหายาเสพติด หรือเกิดอาการซึมเศร้าจนคิดอยากฆ่าตัวตายได้

เตือนภัยไข้หวัดหมู

ทำความรู้จัก โรคไข้หวัดหมู H1N1
ไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1 เอชวันเอ็นวัน นับเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน ผลการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมชี้ว่า เชื้อหวัดใหญ่ชนิดนี้เป็นส่วนผสมของไวรัสจากหมู มนุษย์ และสัตว์ปีก ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในวัย 25-45 นับเป็นสัญญาณที่น่าวิตกว่าอาจเป็นโรคระบาด
เมื่อวันที่ 25 เม.ย. สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เอพี และบีบีซี ต่างรายงานว่า ขณะนี้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่หมู หรือไข้หวัดหมู (Swine Flu) สายพันธุ์ใหม่ระบาดหนักในกรุงเม็กซิโก ซิตี เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก ในทวีปอเมริกากลาง ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 68 ราย และติดเชื้อล้มป่วยกว่า 1,000 ราย อีกทั้งเชื้อไข้หวัดหมูเริ่มระบาดลามเข้าไปในบางพื้นที่ของประ เทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ 2 รัฐทางตอนใต้ ทั้งเท็กซัสและแคลิฟอร์เนียด้านนายโฮเซ่ แองเจล คอร์โดวา รัฐมนตรีสาธารณสุขเม็กซิโก กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตและติดเชื้อส่วนใหญ่อาศัยอยู่รอบๆ และภายในกรุงเม็กซิโก ซิตี โดยผลการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 20 รายในเบื้องต้น ยืนยันว่าติดเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ ส่วนศพอื่นๆ อยู่ระหว่างการพิสูจน์ต่อไป ล่าสุดการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ป่วยพบว่าได้ผลดี และแจกจ่ายยาหลายล้านชุดไปตามโรงพยาบาลทั่วประเทศรายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ยาต้านไวรัสบางชนิดใช้รักษาเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่ได้ ขณะเดียวกัน คณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอนามัยโลก เรียกประชุมฉุกเฉินที่สำนักงานใหญ่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อกำหนดแผนรับมือในกรณีที่โรคไข้หวัดหมูอาจระบาดไปยังภูมิภาคอื่น เพราะเชื่อว่าเชื้อนี้สามารถระบาดจากคนสู่คน แต่องค์การอนามัยโลกย้ำว่าไม่อยากให้ประชากรโลกตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุ อีกทั้งยังไม่มีความจำเป็นต้องออกประกาศเตือนภัยโรคระบาดในเม็กซิโกขณะที่ ดร.ริชาร์ด เบสเซอร์ รักษาการผอ.ศูนย์ควบคุมโรค สหรัฐ กล่าวว่า ในสหรัฐพบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดหมู 8 ราย ในกลุ่มนี้ 6 รายอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย 2 รายอยู่ในรัฐเท็กซัส ทุกคนอาการดีขึ้นตามลำดับ ผลการตรวจวิเคราะห์เชื้อไข้หวัดหมู พบว่า 7 ใน 14 ตัวอย่างเป็นเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่เหมือนที่กำลังระบาดในเม็กซิโก ซิตี อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า เชื้อจะระบาดลามไปทั่วโลกหรือไม่ แต่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างจับตาดูพัฒนาการของโรคนี้อย่างใกล้ชิดด้าน ดร.แนนซี่ ค็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยไข้หวัดใหญ่ ศูนย์ควบคุมโรค สหรัฐ แถลงว่า ไวรัสไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่มีลักษณะพันธุกรรม หรือยีน แตกต่างจากไวรัสไข้หวัดหมูในอดีต เพราะมีองค์ประกอบของเชื้อไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์รวมอยู่ด้วยกัน ประกอบด้วย 1.เชื้อไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ 2.เชื้อไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ และ 3.เชื้อไข้หวัดหมูที่พบบ่อยในทวีปยุโรปและเอเชีย ผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ขึ้นสูง ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง และปวดศีรษะรุนแรงดร.แนนซี่กล่าวต่อว่า สันนิษฐานเบื้องต้นว่า เชื้อไข้หวัดหมูพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือ "Antigenetic Shift" ซึ่งเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู และไข้หวัดใหญ่ อาจเข้าไปอยู่ในตัวหมูที่เป็นพาหะนำโรค ต่อมาเซลล์ในตัวหมูถูกไวรัสตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปโจมตี ทำให้หน่วยพันธุกรรมไวรัสดังกล่าวผสมปนเปกันระหว่างการแบ่งตัว กลายเป็นเชื้อพันธุ์ใหม่ขึ้นมา ตามปกติเชื้อไข้หวัดหมูจะติดคนที่สัมผัสหมูโดยตรงเท่านั้น เช่น ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าหมู แต่เชื่อว่าอาจแพร่จากคนสู่คนผ่านการไอ การจาม หรือรับเชื้อจากวัสดุที่มีเชื้อโรคเกาะอยู่บนพื้นผิว แต่การบริโภคผลิตภัณฑ์จากหมูไม่มีอันตรายแต่อย่างใดน.พ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณ สุข กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูในเม็กซิโกว่า มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ กรมควบคุมโรค ติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดแล้ว โดยในเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 25 เม.ย. จะประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก เพื่อติดตามว่าจะประกาศแจ้งเตือนความรุนแรงของโรคนี้อย่างไรบ้าง รวมทั้งจะต้องแจ้งเตือนผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีการแพร่ระบาดอยู่หรือไม่ เท่าที่รับทราบข้อมูลในเบื้องต้นพบว่า ขณะนี้แพร่ระบาดอยู่เพียงในเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเท็กซัสน.พ.คำนวณกล่าวต่อว่า ผู้ที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์หมู จะมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่จะแสดงอาการรุนแรง และรวดเร็วกว่าไข้หวัดใหญ่ธรรมดา โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์หมู แม้จะมีเชื้อตั้งต้นมาจากหมู แต่ระยะแพร่ระบาดติดต่อจากคนสู่คน แตกต่างจากไข้หวัดนก ซึ่งติดต่อจากสัตว์ปีกสู่คนได้ จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผู้ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์หมู มีอัตราเสียชีวิตร้อยละ 5-7 ถือว่าสูงกว่าผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่ยังน้อยกว่าอัตราของผู้เสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้หวัดนก ที่ผู้รับเชื้อจะมีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 60ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า ขอย้ำว่าโรคนี้แม้เป็นสายพันธุ์หมู แต่ไม่เกี่ยวกับหมู ดังนั้นไม่อยากให้คนไทยแตกตื่น และกลัวการสัมผัส หรือรับประทานหมู เพราะเมื่อได้ยินว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์หมู อาจทำให้กลัว ไม่กล้ากิน และไม่กล้าสัมผัสหมู การแพร่เชื้อมีการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคน1.แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกัน (เชื้อจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย )2. ติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา หากนำมือที่มีเชื้อไปสัมผัสอาการ โรคไข้หวัดหมู-มีไข้สูง-หายใจไม่สะดวก-ปวดศีรษะ ปวดตา-ปวดเมื่อยตามร่างกายรุนแรง-อาการป่วยจะพัฒนารวดเร็วและจะมีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรงภายใน 5 วันสำหรับคำแนะนำในการป้องกันเบื้องต้น เหมือนการป้องกันไข้หวัดธรรมดา คือ 1.เมื่อเป็นหวัดเวลาจามจะต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิด เพื่อป้องกันการติดต่อ 2.หมั่นล้างมือ 3.หากมีอาการรุนแรง ไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการแพร่ระบาด และที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์หมู